รีไฟแนนซ์ (Re-Finance) หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง
หรือบางคนที่ได้ทำการกู้ซื้อคอนโดหรือผ่อนคอนโดไป
แล้วผ่อนส่งไปสักพักก็มีเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรมาแนะนำให้รีไฟแนนซ์
และก็มีคนบางส่วนที่คิดว่าการที่ธนาคารโทรมาจะให้เรารีไฟแนนซ์นั้นเป็นกลลวง
ซึ่งก็จะมีคีย์เวิร์ดล่อตาล่อใจ เช่น ดอกเบี้ยถูก ลดภาระ ได้เงินส่วนต่างมาใช้
พอข้อดีเยอะขนาดนี้ก็ต้องรู้สึกสนใจเป็นธรรมดา แต่เมื่อหาศึกษาหาข้อมูลไปเรื่อยๆ กลับมีเสียงแตก
บ้างก็ว่า รีไฟแนนซ์ช่วยประหยัดดอกเบี้ย บ้างก็ว่าทำให้เสียเงินเพิ่ม บ้างก็ว่าเป็นการกู้เงินมาโดยใช่เหตุ
อยากให้เรากู้งินก้อนใหม่ เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้อะไรนี่นา จะไปรีไฟแนนซ์ทำไม
แล้วตกลงการรีไฟแนนซ์มันคืออะไร ดีหรือไม่ดี เราลองมาดูกันเลย
เรามารู้จักการรีไฟแนนซ์ กันก่อน รีไฟแนนซ์คอนโด คือ การเปลี่ยนเจ้าหนี้
การที่เราไปขอกู้เงินใหม่อีกก้อนหนึ่งใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้ก้อนเดิม
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะทำกับการกู้ซื้อบ้าน คอนโดและรถยนต์
เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระหนี้สินเชื่อก้อนเดิม และจ่ายส่วนของดอกเบี้ยลดลง
ที่สำคัญคือในการทำเรื่องขอรีไฟแนนซ์ครั้งใหม่นี้ ไม่ว่าจะกู้กับสถาบันการเงินเดิมหรือที่ใหม่
ก็อาจจะได้รับข้อเสนอในการผ่อนชำระที่ดีกว่าสินเชื่อเดิม อาจจะได้ระยะเวลาในการผ่อนที่ยาวขึ้น
โดยคนส่วนใหญ่มักจะไปขอรีไฟแนนซ์หลังจากได้ผ่อนชำระสินเชื่อกับที่เก่ามาแล้วอย่างน้อย 3 ปี
ทำไมคนถึงเลือกรีไฟแนนซ์คอนโด
การกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารเพื่อมาซื้อบ้านหรือคอนโดนั้น
โดยทั่วไปธนาคารจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการผ่อนชำระใน 3 ปีแรกไว้ค่อนข้างต่ำเพื่อเป็นรอบโปรโมชั่น
ก่อนที่งวดชำระในปีที่เหลือถัด ๆ ไปจะคิดดอกเบี้ยตามอัตราของธนาคาร ซึ่งมักจะแพงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยของ 3 ปีแรกมาก
จึงเป็นสาเหตุหลักที่หลาย ๆ คนที่ซื้ออสังหาฯ ไม่ว่าจะซื้อบ้านหรือซื้อคอนโดจึงเลือกที่จะขอรีไฟแนนซ์คอนโด
เพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้หลังจากผ่อนชำระครบ 3 ปีแรกแล้ว
เทคนิคขั้นตอนการรีไฟแนนซ์
- ตรวจสอบกับธนาคารว่าได้ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด ในเงื่อนไขที่ดี
- เมื่อได้ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันทางการเงินต่าง ๆ มาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการคำนวณ
จะต้องนำข้อมูลสินเชื่อในสัญญาเก่ากู้ซื้อคอนโด อันเก่าที่ยังคงเหลืออยู่นำมาเปรียบเทียบกับสัญญาเงินกู้
ที่จะรีไฟแนนซ์ฉบับใหม่ พิจารณาดูว่าเมื่อรีไฟแนนซ์แล้ว จะประหยัดค่างวดลงได้เยอะหรือไม
ถ้าคำนวณแล้วประหยัดไปได้เยอะ ก็ตัดสินใจยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ คำนวณเห็นว่าคุ้มค่าที่สุด - ติดต่อธนาคารเก่าเพื่อขอสเตทเมนต์สรุปยอดหนี้เงินกู้ และนำเอกสารสรุปยอดหนี้ที่ได้มาไปทำเรื่องยื่นกู้กับธนาคารใหม่
ที่เราจะขอรีไฟแนนซ์ - ทำเรื่องยื่นกู้ใหม่กับธนาคารใหม่ที่เราจะขอรีไฟแนนซ์
ซึ่งขั้นตอนการรีไฟแนนซ์นั้นเหมือนกับการขอสินเชื่อใหม่เหมือนเดิมทุกประการ - รอผลอนุมัติจากธนาคารที่ยื่นกู้ใหม่
- เมื่อธนาคารอนุมัติแล้วให้ ติดต่อธนาคารเก่า เพื่อนัดวันไถ่ถอนที่สำนักงานที่ดิน
ซึ่งธนาคารเดิมจะสรุปยอดหนี้ให้อีกครั้ง พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้รับมอบอำนาจของทางธนาคารที่จะไปทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดิน
เราต้องแจ้งยอดหนี้ เป็นเงินต้นรวมดอกเบี้ยจนถึงวันไถ่ถอนแก่ธนาคารใหม่ - ติดต่อนัดธนาคารใหม่ เพื่อนัดวันทำสัญญาและโอนทรัพย์ที่ใช้จำนองต้องเป็นวันเดียวกันกับที่นัดกับทธนาคารเดิมไว้
- ทำเรื่องโอนที่ ณ สำนักงานที่ดินในเขตที่บ้านของเราตั้งอยู่ ทำการจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เรียบร้อย
โดยถ้ายอดกู้สูงกว่าราคาไถ่ถอน ธนาคารใหม่จะออกเช็คให้เรา 2 ใบ ใบหนึ่งจ่ายให้กับธนาคารเก่า และอีกใบหนึ่งให้เรา
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว มอบโฉนดที่ได้มาจากสำนักงานที่ดินให้กับธนาคารใหม่ที่เราเป็นหนี้ ก็ถือว่ารีไฟแนนซ์เสร็จเรียบร้อย
เราก็จะเป็นหนี้กับธนาคารใหม่แล้ว แต่จะได้อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ประหยัดได้มากขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์
เป็นอีกหัวข้อที่ควรนำมาพิจารณาในการขอรีไฟแนนซ์ เพื่อประเมินว่าคุ้มไหม ค่าใช้จ่ายมีดังนี้
- ค่าปรับการคืนเงินกู้ก่อนกำหนดตามสัญญาที่มีอยู่ ประมาณ 2-3% ของวงเงินกู้ทั้งจำนวน
โดยบางแห่งคิดจากมูลหนี้ที่เหลืออยู่ - ค่าจัดการสินเชื่อตามสัญญาใหม่ ประมาณ 0-1% ของวงเงินกู้ใหม่
- ค่าธรรมเนียมในการจำนอง ประมาณ 1% ของราคาประเมิน
- ค่าประเมินราคาหลักประกัน ประมาณ 2,500 บาท-0.25% ของราคาประเมิน
- ค่าทำประกันอัคคีภัย ประมาณ 2,000 บาทสำหรับบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท
- ค่าอากรแสตมป์ ประมาณ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ที่ถูกกว่า ทำให้เราผ่อนชำระได้ดอกเบี้ยถูกลงกว่าเดิม
- บางกรณีอาจได้วงเงินกู้มากขึ้นกว่ายอดคงค้างเดิม
- ลดภาระหนี้ ทำให้จำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือนลดลง
- ได้เงินส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ที่จำเป็นได้มากขึ้น
สามารถนำไปหมุนเวียนใช้จ่ายหรือหมุนเวียนในธุรกิจได้
ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์
- ทำให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานขึ้น
- เสียค่าจัดรีไฟแนนซ์ใหม่ เสียค่าใช้จ่ายจิปาถะในการดำเนินการ เสียเวลา
และอาจต้องเสียค่าปรับหากมีการไถ่ถอนก่อนกำหนด - มีความยุ่งยากในการเตรียมเอกสาร เช่น เอกสารเกี่ยวกับรายได้ของผู้กู้ หากปัจจุบันผู้กู้ตกงาน
ไม่มีรายได้ ไม่สามารถหาเอกสารที่ยืนยันรายได้ของตนเอง อาจทำให้ไม่สามารถทำการรีไฟแนนซ์ได้
ดังนั้น เราจึงควรวางแผนในการใช้เงินของเราเอง เพื่อให้การลงทุนของเราแต่ละครั้งใช้เงินน้อยและได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด
และก่อนคิดจะยื่นสินเชื่อคอนโดใหม่ทุกครั้ง อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญก็คือความสามารถในการผ่อนชำระของเรา
อย่าให้ตัวเองเดือนร้อนในแต่ละเดือน พิจารณาและคำนวณวงเงินให้ดีๆ เพราะถ้าเรายื่นกู้คอนโด รีไฟแนนซ์คอนโด
แต่ขอวงเงินที่เยอะเกินไป แม้ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อให้ แต่สุดท้ายเราผ่อนไม่ไหวมันก็จะกลายเป็นดาบสองคมกับตัวเราเองอยู่ดี
______________________________________________________________
อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : https://shinyurealestate.com/article/category/knowledge
หรือ https://www.facebook.com/Shinyu-Real-Estate-Official-100529669046345