รู้หรือไม่?! ราคา อสังหาฯจีน ที่สูงขึ้น เป็นหนึ่งในเหตุผลทำให้อัตราการหย่าร้างของคู่รักจีนสูงขึ้น

ถ้าพูดถึงสาเหตุในการหย่าร้างของคู่รักสักหนึ่งคู่ คุณจะนึกถึงสาเหตุในบ้าง สำหรับเราเราว่า
ก็คงจะเป็น ความไม่เข้าใจ ไม่มีเวลา การนอกใจ ความไม่ซื่อสัตย์ ฯลฯ แต่ในประเทศจีนมีอีกหนึ่งเหตุผล
ที่ทำให้อัตราการหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้น นั่นก็คือ “ราคา อสังหาฯจีน ที่สูงขึ้น” ฟังดูไม่น่าเชื่อใช่มั้ยละคะ

วันนี้เราจะนำเรื่องราวนี้มาเล่าให้ฟัง

.

.

#จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

1. เรื่องราวทั้งหมดเริ่มมาจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จีนที่อู้ฟู่จนกลายเป็นยุคทองภาคอสังหาฯ

มานานกว่า 20 ปี ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นการเติบโต

ของภาคอสังหาริมทรัพย์

2. แผนการพัฒนาดำเนินการโดยการพัฒนาย่านชุมชนเก่า และที่อยู่อาศัยที่แออัด สร้างเป็นตึกใหม่

เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่ที่ดีขึ้น รัฐบาลท้องถิ่นเองก็ได้มีการปล่อยเช่าที่ดิน อาคารพาณิชย์เพื่อ

สร้างตึกที่อยู่อาศัย ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ได้เข้ามาเป็นตัวกลางในการดำเนินการแข่งประมูล

กรรมสิทธิ์เช่าที่ดิน และขายโครงการให้กับประชาชน รวมทั้งดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ

และโอนกรรมสิทธิ์

3. ความจริงแล้วชาวจีนมีนิสัยชอบออมเงินในมือกันอยู่แล้ว เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโต

ประชาชนจึงเริ่มเห็นช่องทางในการลงทุนเพื่อให้เงินออมในมืองอกเงยขึ้น ในยุคทองของอสังหาฯ

เชื่อหรือไม่ว่าราคาอสังหาฯเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัว อย่างราคาบ้านพุ่งทะยานไปจนถึงตารางเมตรละ

400.000-500,000 บาท/ตร.ม.เลยทีเดียว เพิ่มจากช่วงก่อนยุคทองหลายเท่าตัว ยิ่งถ้าเป็นอสังหาฯ

ในทำเลวงแหวนวงในๆ ราคาจะยิ่งแพงกว่านี้อีกหลายเท่าตัว

#รัฐบาลเริ่มออกมาตรการควบคุม

4. จนเมื่อ 2-3 ปีมานี้รัฐบาลต้องออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรอย่างเข้มข้น

“บ้านมีไว้อยู่อาศัย ไม่ได้มีไว้เก็งกำไร” รัฐบาลดำเนินนโยบายนี้อย่างเคร่งครัดมากในระยะหลังๆ

เพราะเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของราคา อสังหาฯจีน ในตลาดแบบหลายเท่าตัวเช่นนี้ ทำให้เกิดปัญหาสังคม

ความเหลื่อมล้ำ และทำให้คนรุ่นใหม่ขาดโอกาส เป็นที่มีของมาตรการต่างๆของรัฐบาล

ที่ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯฝืดเคืองขึ้นในระยะหลังๆ

#ตัวอย่างมาตรการควบคุมของรัฐบาลจีน

4.1 กฎควบคุมบริษัทอสังหาฯ ที่เรียกกันว่า “สามเส้นแดง” คือ 1) เมื่อหักลบเงินที่ได้จากการขาย

อสังหาฯแล้วอัตราส่วนหนี้สินต่อทรัพย์จะต้องไม่เกิน 70% 2) อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต้องไม่เกิน 100%

3) อัตราส่วนหนี้สินเงินสดต้องไม่น้อยกว่า 1 เท่า

4.2 รัฐบาลเริ่มเก็บภาษีการถือครองอสังหาฯ โดยกำหนดให้ผู้ครอบครองบ้านหรือห้องพักอาศัยมากกว่า

1 หลัง หากมีการขายออกไป จะต้องจ่ายภาษีเงินได้จากการขาย 20% ของราคาชาย ซึ่งสูงกว่าเดิม

ที่ต้องจ่ายเพียงร้อยละ 1-2 % เท่านั้น และนี่แหละคือที่มาของอัตราการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะคนจีน

หลายคู่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายที่ระบุว่า หากคู่สมรสที่ได้จดทะเบียนหย่านั้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษี

ดังกล่าว โดยหลังหย่าร้างในครั้งนั้นแล้วก็สามารถกลับมาจดทะเบียนสมรสได้อีกครั้ง

#ประชาชนใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายรับมือ

5. และช่องว่างทางกฎหมายนี้เองที่ทำให้อัตราการหย่าร้างถล่มทลาย แต่ไม่ใช่แค่การหย่าร้างปลอม

ได้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่กฎและนโยบายของรัฐบาลก็ทำให้เกิดการแต่งงานปลอมด้วยเช่นกัน

5.1 ในกรุงปักกิ่ง รัฐบาลได้ออกกฎระเบียบห้ามสตรีที่โสดซึ่งมีบ้านถาวรในกรุงปักกิ่งแล้ว ซื้อบ้าน

หรือที่พักอาศัยหลังที่ 2 แน่นอนว่าชาวจีนแก้ปัญหานี้ด้วยการแต่งงานปลอมๆ

#ปัญหาทางสังคมที่ตามมา

6. อย่างไรก็ตามการหย่าร้างปลอมและการแต่งงานปลอมๆนั้นก็ได้สร้างปัญหาทางสังคม

ให้กับประเทศจีนไม่น้อย หลายคู่ฉวยโอกาสนี้เพื่อนอกใจ รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับชาย/หญิงอื่น

อย่างออกหน้าออกตา

.

วุ่นวายไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยละคะ ยังไม่จบนะคะ นอกเหนือจากการแต่งปลอมหย่าปลอมแล้ว

ราคาอสังหาที่สูงปรี๊ดนั้นยังส่งผลต่อปัญหาครอบครัวอีกหลายข้อ เช่น แรงกดดันมหาศาล

ที่เกิดขึ้นในขณะใช้ชีวิตคู่ จากค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้าน ซื้อบ้าน จนเกิดการหย่าร้าง

และเมื่อหย่าร้างกันจริงๆ ก็ติดปัญหาตรงที่ไม่สามารถแยกกันอยู่ได้อีก

เนื่องจากไม่สามารถออกไปซื้อที่อยู่อาศัยใหม่เพราะราคาที่สูงมากนั่นเอง โดยเหตุการแบบนี้

ก็มีฝ่ายต่างๆออกมาวิจารณ์ถึงข้อดีและข้อเสียที่ต่างมุมกันออกไป บ้างก็ว่าการหย่าร้าง

แต่ต้องอยู่ด้วยกันเพราะความจำเป็นเช่นนี้จะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมามากมาย บ้างก็ว่า

ถ้าหย่าแล้วยังอยู่ด้วยกันได้ ก็หมายความว่าอาจจะมีความรู้สึกดีๆต่อกันอยู่ ซึ่งมีความ

เป็นไปได้ว่าทั้งสองจะกลับมารักกันเหมือนเดิมอีกครั้ง

.

อ่านมาถึงตรงนี้ปวดหัวมั้ยคะ ใครจะเชื่อว่าราคาอสังหาฯที่สูง และนโยบายของรัฐบาล

ต่อตลาดอสังหาฯจะสร้างปัญหาสังคมให้เกิดตามมาได้มากขนาดนี้ แต่จากเรื่องราวทั้งหมดนี้

ก็พิสูจน์แล้วค่ะ “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” ไม่ใช่คำพูดเกินจริงเลย