ประกันสำหรับที่อยู่อาศัยจำเป็นหรือไม่?

หลายๆ คนเมื่อกู้สินเชื่อบ้านผ่านแล้ว อาจจะเจอเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินแนะนำให้ซื้อ ประกันที่อยู่อาศัย เพิ่ม
เพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้กับที่พักอาศัยของเรา หลายคนอาจะสงสัยว่า จำเป็นจะต้องซื้อจริงๆ เหรอ?
เราจะโชคร้ายขนาดนั้นจริงเหรอ? ซึ่งต้องขอบอกก่อนเลยนะคะ
ว่าการเลือกซื้อหรือไม่เนี่ยแล้วแต่การพิจารณาของแต่ละคนจริงๆ
วันนี้ชินยูจะมาพาทุกคนไปรู้จักกับ “ประกันสำหรับที่อยู่อาศัย”
มาดูกันค่ะว่ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทคุ้มครองอะไรบ้าง

สำหรับ ประกันที่อยู่อาศัย จะมีด้วยกัน 2 ประเภทคือ

#ประกันอัคคีภัย
โดยทั่วไปแล้ว บ้านส่วนใหญ่ที่ซื้อเงินสดจะมีความคุ้มครองประกันอัคคีภัยพื้นฐานอยู่แล้ว
แต่สำหรับใครที่กู้ซื้อ กฎหมายจะ “บังคับ” ให้ซื้อกรมธรรม์อัคคีภัยจนกว่าจะผ่อนสินเชื่อหมด
ประกันอัคคีภัยพื้นฐานจะครอบคลุมการฟื้นฟูสภาพโครงสร้างภายนอกและภายในของตัวบ้านเท่านั้น
แต่จะไม่จ่ายเงินชดเชยสำหรับซ่อมแซม รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ หรือทรัพย์สินส่วนตัวที่โดนโจรกรรมหรือทำลายไปด้วย
เนื่องจากเป็นประกันแบบระบุภัย คือคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์เท่านั้น
เบื้องต้นจะชดเชยกรณีสูญเสียหรือเสียหายจาก 6 ภัยหลัก ได้แก่
– ภัยไฟไหม้
– ภัยจากฟ้าผ่า
– ภัยจากกระระเบิดของแก๊สที่ใช้ในครัวเรือน
– ภัยจากการเฉี่ยวหรือชนจากยานพาหนะของคนอื่น
– ภัยจากอากาศยาน
– ภัยจากน้ำ เช่นท่อประปาในอาคารรั่วหรือน้ำไหลผ่านเข้าไปในตัวอาคารจากหลังคารั่วหรือช่องทางเสียหายอื่นๆ
เป็นการคุ้มครองภัยที่ “ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ” เท่านั้น

#ประกันภัยพิบัติ
เนื่องจากประกันอัคคีภัยไม่ได้คุ้มครองภัยธรรมชาติขั้นรุนแรงจึงมี #ประกันภัยพิบัติ
เพิ่มขึ้นมาเพื่อเสริมความคุ้มครองสำหรับภัยทางธรรมชาติต่างๆ เช่น ภัยจากน้ำท่วม ภัยลมพายุและภัยแผ่นดินไหว
โดยต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้
– คณะรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติรุนแรง
– ภายใน 60 วันตั้งแต่เกิดเหตุ จะต้องมีผู้เรียกร้องค่าสินไหม หรือการคุ้มครอง 2 รายขึ้นไป
และมีจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งหมด 5,000 ล้านบาท
– กรณีแผ่นดินไหวต้องมีความรุนแรงที่ 7 ริกเตอร์ขึ้นไป หรือเกิดลมพายุที่มีความเร็วมากกว่า 120 กม. / ชม.

ส่วนในกรณีน้ำท่วมจะให้ค่าสินไหมชดเชยตามระดับน้ำ ซึ่งขึ้นอยู่ของแต่ละกรมธรรม์กรมธรรม์ภัยพิบัติ
สำหรับที่อยู่อาศัยจะจำกัดความรับผิดชอบอยู่ที่ไม่เกิน 100,000 บาทเท่านั้น
โดยจะมีอัตราเบี้ยประกันอยู่ที่ 0.5% ต่อปี หรือคำนวณง่ายๆ ก็คือ
100,000 x 0.5% = 500 บาท นั่นเอง

ส่วนผู้ที่พักอาศัยคอนโด โดยปกติทางผู้พัฒนาโครงการจะทำ “ประกันความเสี่ยงภัยทุกกรณี”
สำหรับตัวอาคารและพื้นที่ส่วนกลางอยู่แล้ว แต่อย่าลืมนะคะว่าประกันที่ทางโครงการทำเนี่ย
คุ้มครองแค่ตัวอาคารและพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น “ไม่รวมภายในห้องพักของเรา”
ยกเว้นว่าทั้งอาคารจะได้รับความเสียหาย ห้องเราถึงจะได้รับเงินชดเชยแต่ก็จะไม่ได้นับรวมทรัพย์สินภายในห้องนะคะ

แต่ไม่ต้องห่วงไปค่ะ สำหรับทรัพย์สินภายในห้องนั้น เราสามารถที่จะทำการซื้อ
“ประกันทรัพย์สินภายในที่อยู่อาศัย” เพิ่มเติมได้ เพื่อให้ความคุ้มครองนั้นครอบคลุมอย่างทั่วถึง
มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้างที่เราสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้
– เฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายได้ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า และทรัพย์สินอื่นๆ
– เฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ เช่นการเดินสายไฟ ประตู หน้าต่าง วงกบ หรือที่เรียกว่าสิ่งติดตั้งตรึงตรา
โดยแต่ละบริษัทจะมีอัตราการเก็บเบี้ยประกันภัยที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับทุนประกันภัยหรือความคุ้มครอง
ตัวอย่างเช่น บริษัททิพย ประกันภัย มีแพคเกจสำหรับประกันทรัพย์สินภายในห้อง โดยมีแพคเกจเริ่มต้นที่
เบี้ยประกันภัยปีละ 648.42 บาท มีทุนประกัน 200,000 บาท ระยะเวลาในการคุ้มครองทั้งหมด 1 ปี
โดยคุ้มครองทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากอัคคีภัยและภัยธรรมชาติ

ซึ่งเมื่อมีทุนประกันสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระก็จะเพิ่มไปด้วยตามความคุ้มครองนะคะ

ถ้าหากว่าไม่ได้ทำประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยไว้ แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดขึ้น
เราจะต้องรับค่าใช้จ่ายจากความเสียหายนั้นไปเต็มๆ
ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดน้ำท่วมหนัก นอกจากตัวบ้านที่จะเสียหายและต้องได้รับการซ่อมแซมแล้ว
ยังมีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในบ้านอีกมากมายรวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ต้องได้รับการซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด
หรือหากบางชิ้นซ่อมไม่ได้ ก็จำเป็นที่ต้องซื้อใหม่ ลองคิดดูนะคะว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ที่ต้องแบกรับ
หลังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มา

สำหรับใครที่อยากได้คำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อประกันภัยที่อยู่อาศัยสามารถปรึกษานายหน้าคอนโด
หรือนายหน้าอสังหา ที่ดูแลคุณได้นะคะ เพราะจะสามารถแนะนำนายหน้าประกันภัยหรือบริษัทประกันภัย
ที่น่าเชื่อถือและสามารถดูแล ให้คำปรึกษาคุณได้แน่นอนค่ะ