![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/80684310_2814485358590819_8961182073188515840_o-450x300.png)
ก่อนลงทุนต้องรู้จักกับ ‘อัตราการดูดซับ’
หลายต่อหลายครั้งเราเห็นคำว่า ‘อัตราการดูดซับ’ ปรากฏบนข่าว ซึ่งบางทีก็อาจสร้างความสงสัยให้กับผู้ที่เพิ่งเริ่มศึกษาเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ว่ามันคืออะไร วันนี้เราจะมาไขข้องสงสัยกันค่ะ . อัตราการดูดซับ หรือ Absorption Rate คือ ดัชนีชี้วัด ‘ความต้องการ’ หรือ ‘อุปสงค์’ ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ว่าในทำเลนั้นๆ หรือ ตลาดของอสังหาฯ แต่ละประเภท เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยการนำหน่วยที่ขายได้ หารด้วยจำนวนยูนิตทั้งหมดที่โครงการมี ยิ่งค่าสูง แสดงว่ายังเป็นที่ต้องการมาก . อัตราการดูดซับนี้ เป็นหนึ่งในดัชนีที่ใช้คาดการณ์ภาวะธุรกิจ (Business Expectation Index) ซึ่งโดยส่วนมากทางภาครัฐจะเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลตัวเลขเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อให้เห็นถึงจุดสูงสุดและต่ำสุดของเศรษฐกิจในประเทศ และติดตามสภาวะเศรษฐกิจ แต่ในบางครั้ง ทางผู้พัฒนาอสังริมทรัพย์เองก็มีการเก็บรวมรวบข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับโครงการของตน เพื่อคำนวณออกมาเป็นอัตราการดูดซับเช่นเดียวกัน . ตัวอย่างเช่น ครึ่งแรกของปี 2562 อัตราการดูดซับของที่อยู่อาศัยทุกประเภท ต่ำสุดในรอบ 5 ปี สำหรับบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด อัตราการดูดซับอยู่ที่ 2.6% อาคารชุด อยู่ที่ 4.8% และ ทาวน์เฮาส์ อยู่ 2.9% แสดงว่าคนมีความต้องการซื้ออสังหาฯ น้อยลง โดยประเภทของอสังหาฯ ที่คนมีความต้องการจะซื้อมากที่สุดก็คืออาคารชุด . เราสามารถนำข้อมูลนี้มาพิจารณาต่อได้ เช่น ถ้าเราอยากลงทุนปล่อยเช่า เราอาจเลือกเจาะไปที่การปล่อยเช่าอาคารชุดมากกว่าบ้านเดี่ยว เป็นต้น แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะในภายรวมของสถานการณ์ปัจจัยคาดว่าการซื้อที่อยู่อาศัยทุกกลุ่มชะลอตัวลง . อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำอัตราการดูดซับ มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูล ไว้ศึกษาตลาด ก่อนลงทุนเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อดูว่าโครงการมีแนวโน้มเปิดตัวมาแล้วได้รับความนิยมหรือไม่ ควรเดินหน้าลงทุนกับโครงการนี้หรือเปล่านั่นเองค่ะ
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/80134893_2814477135258308_525841633552367616_o-450x300.png)
ตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ ในยุค Aging Society
เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะเห็นได้จากสัดส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจากสถิติจำนวนผู้สูงอายุประเทศไทย จาก กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ในปี 2560 มีจำนวนผู้สูงอายุราว 10.2 ล้านคน และในปี 2561 มีผู้สูงอายุราว 10.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 แสนกว่าคน ซึ่งคาดว่าในปีนี้ และ ปีจำนวนประชากรผู้สูงอายุน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง . นอกจากนี้ จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่าในปี 2573 ประเทศไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงวัยเพิ่มขึ้นเป็น 19% กลายเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย รองจากประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ . ด้วยแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ที่ผ่านมา ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เริ่มเข้ามาเจาะตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมด้านการเงิน และกำลังซื้อสูง โดยโครงการเพื่อผู้สูงอายุในปัจจุบันที่เห็นกันในปัจจุบันมีหลายโครงด้วยกัน ตัวอย่างเช่น แสนสรา แอท แบคเม้าท์เท่น, กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ที่เน้นเจาะตลาดผู้สูงอายุระดับ Hi-end หรือคอนโดฯ โครงการใหม่ติดรถไฟฟ้า ของ AP ที่เน้นเจาะกลุ่มคนสูงวัยรุ่นใหม่ (The Young Old) ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในกลุ่มคนสูงวัยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า . โดยจุดร่วมที่เหมือนกันของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุก็คือ การสร้างที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์สำหรับคนกลุ่มนี้มากที่สุด ซึ่งหลายๆ โครงการจะเน้นไปที่ Universal Design หรือการออกแบบที่ให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการใช้งานส่วนต่างๆ ของโครงการได้ เช่น การทำลิฟท์ให้กว้าง มีทางลาด ทางเดิน ที่ได้มาตรฐานและสะดวก ปลอดภัย . ทั้งนี้ สำหรับภายในห้องพัก ก็จะมีการออกแบบและผสมผสานนวัตกรรมการอยู่อาศัยต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุโดยเฉพาะ (Eldercare) อย่างเช่น มีอุปกรณ์เสริมช่วยทรงตัวตามห้องต่างๆ เตียงที่ใช้ สามารถปรับระดับได้ตามต้องการ มีระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ และพื้นลดแรงกระแทก เป็นต้น . การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากจะเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุที่มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังเป็นการผลักดันให้วงการอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวตามด้วย เริ่มด้วยการสร้างสถาปัตยกรรมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มบริการต่างๆเพิ่มเติม อย่างเช่น การจัดหาคนมาดูแลผู้สูงอายุ จัดเตรียมอาหาร หรือกิจกรรมยามว่างให้ ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/79737754_2788475724525116_6351539169382105088_o-450x300.png)
อัปเดตเทรนด์ ‘บ้านอัจฉริยะ’ ที่กำลังจะมาในปี 2020!
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘เทคโนโลยี’ เข้ามาทำให้การดำเนินชีวิตของเราสะดวกสบายมากขึ้นยิ่งขึ้น ในแง่ของการอยู่อาศัยก็เช่นเดียวกัน ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้บ้านของเรากลายเป็น ‘บ้านอัจฉริยะ’ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟอัจฉริยะ เครื่องทำกาแฟอัจฉริยะ ปลั๊กไฟอัจฉริยะ ตลอดจน ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่เราสามารถสั่งให้จัดการสิ่งต่างๆ ภายในบ้านให้กับเราผ่านแอปพลิชันและคำสั่งเสียงได้ . แค่นี้ยังว่าน่าตื่นตาตื่นใจแล้วใช่ไหมล่ะคะ แต่ในปีหน้านี้บ้านของเรายัง ‘อัจฉริยะ’ ได้มากกว่านี้อีก ซึ่งเทรนด์ของเทคโนโลยีที่กำลังมาจะมีอะไร ตามมาดูกันเลยค่ะ . 🏡 ห้องครัวอัจฉริยะ 🏡 เรื่องกินเรื่องใหญ่ จะดีแค่ไหนถ้าคุณมีผู้ช่วยที่สามารถจัดการแต่ละมื้อของคุณให้ง่ายมากยิ่งขึ้น? สำหรับเทรนด์ห้องครัวอัจฉริยะที่เราจะเห็นกันในปีหน้านี้ก็คือ ‘ตู้เย็นอัจฉริยะ’ ที่มีฟังก์ชันสามารถตั้งเวลารับประทานอาหารของสมาชิกในครอบครัว เพื่อที่จะได้จัดเตรียมอาหารได้ถูกเวลา สามารถดูสูตรอาหารจากอินเทอร์เน็ตได้โดยทันที ตลอดจนสามารถเช็คลิสต์ได้ว่าเรามีอะไรในตู้เย็นบ้าง และแจ้งเตือนเมื่อมีอาหารที่หมดอายุ . 🏡 ห้องนอนอัจฉริยะ 🏡 ห้องนอนเป็นห้องที่เราจะได้ใช้เวลาอย่างเต็มไปกับการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งในอนาคตจะมีอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยให้การนอนหลับของเราเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสบายขึ้น ทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิของเตียงตามความเหมาะสม อุปกรณ์ที่ช่วยติดตามประสิทธิการนอนหลับของเรา ตลอดจนนาฬิกาที่สามารถตั้งปลุกด้วยกลิ่นอโรม่าแทนเสียง . 🏡 ห้องน้ำอัจฉริยะ 🏡 ในอนาคตเราอาจไม่ต้องไปขัดตัว นวดตัวกันถึงสปาอีกต่อไปแล้ว เพราะความสบายที่ว่าสามารถหาได้ง่ายๆ ที่บ้านด้วยอ่างอาบน้ำอัจฉริยะที่จะมาเป็นผู้ช่วยประจำตัวในห้องน้ำ ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์อาบน้ำที่บ้านเหมือนไปทำสปาที่ร้านได้ อย่างเช่น คุณสามารถควบคุมอุณหภูมิของน้ำ ปรับการตั้งค่าอ่างอาบน้ำ เลือกฟังก์ชันนวดตัวด้วยคลื่นได้หลายระดับ ด้วยการออกคำสั่งจากแอปคลิชัน . 🏡 ห้องนั่งเล่นอัจฉริยะ 🏡 ลืมภาพโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโซฟาในห้องนั่งเล่นไปได้เลย เพราะในอนาคตอันใกล้ เพียงแค่เรากดปุ่มหรือออกคำสั่งเสียง ก็จะมีจอภาพเสมือนโทรทัศน์ปรากฏขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนของตัวบ้าน ก็สามารถรับชมรายการโปรดได้ เหมือนมีห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่ไปกับเรา . 🏡 ห้องแต่งตัวอัจฉริยะ 🏡 ต่อไปตู้เสื้อผ้าของเราจะทำอะไรได้มากกว่าแค่การเก็บเสื้อผ้า ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ในอนาคตตู้เสื้อผ้าจะสามารถจัดเสื้อผ้าให้เรา ตลอดจน สามารถป้อนคำสั่งให้เลือกชุดที่เหมาะสมกับเราในแต่ละวันได้ด้วย
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/76680293_2730611663644856_2641353768339243008_o-450x300.jpg)
เลือกทำเลให้ปัง ไม่ใช่แค่ทำเลดัง แล้วจะเวิร์ค
การเลือกทำเล สำหรับผู้ที่ต้องการจะลงทุนปล่อยเช่า บางครั้งทำเลที่ดัง เป็นที่พูดถึงว่ามีโอกาสเติบโตในอนาคตสูง อาจไม่ใช่ทำเลที่ “เวิร์ค” เสมอไป เพราะนั่นหมายความว่าคุณอาจมี “คู่แข่ง” ที่เล็งเห็นถึงโอกาสตรงนี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้น การจะเลือกทำเลที่เหมาะสมต่อการลงทุนนั้น จึงควรพิจารณาจากหลายองค์ประกอบไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่แค่องค์ประกอบใด องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น โดยวันนี้เราจะพามาดูว่ามีหลักเกณฑ์อะไรบ้างที่เป็นตัวประกอบการพิจารณา “ทำเลที่น่าลงทุนปล่อยเช่า” ตามมาดูกันเลยค่ะ . :: บริเวณโดยรอบไม่มีการเกิดขึ้นของคอนโดใหม่ :: ทำเลที่มีแนวโน้มน่าลงทุน ควรจะเป็นทำเลที่ดูแล้วเราไม่มีคู่แข่งมากนัก กล่าวคือ เป็นทำเลที่ “อยู่ตัว” ไม่มีการเกิดขึ้นของคอนโดใหม่ หรือ ไม่มีห้องเช่าว่างสักเท่าไหร่ โดยความต้องการปล่อยเช่าคอนโดฯ ในภาพรวมของเขตพื้นที่นั้นๆ ไม่ควรเกิน 20% . :: ติดรถไฟฟ้า แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก :: เช่นเดิมคือทำเลที่ดีคือต้องสะดวก ทั้งในแง่ของการเดินทางและการใช้ชีวิต คือ ติดถนนใหญ่ ติดรถไฟฟ้า รวมถึง มีขนส่งสาธารณะอื่นๆ เข้าถึง นอกจากนั้นควรจะติดชุมชนใหญ่ เพราะการที่มีชุมชนใหญ่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ตามมา อย่างเช่น ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร และบริษัทต่างๆ . :: ทำเลที่มีความต้องการเช่า ไม่ใช่ต้องการซื้อ :: ประการต่อมา เราควรมองหาทำเลที่มีคนต้องการ “เช่า” หมุนเวียนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา คนที่มีความต้องการเช่า ก็อย่างเช่น ชาวต่างชาติ หรือ นักศึกษามหาวิทยาลัย เพราะส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้ เป็นคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น “เป็นการชั่วคราว” คือมาเรียน มาทำงาน เมื่อเรียนจบ ทำงานครบสัญญา ก็ย้ายออกไป แต่ก็ “นานพอ” ที่จะปล่อยเช่าระยะยาว ดังนั้น การที่เราเลือกทำเลที่คนกลุ่มนี้เข้า-ออก ก็จะทำให้ปล่อยเช่าได้ง่าย และ ทำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเว้นช่วงรอหาผู้เช่ารายใหม่นาน . :: พื้นที่มีโอกาสเติบโต :: พื้นที่ที่มีโอกาสเติบโต เช่น ในอนาคตทำเลนั้นๆ อาจมีโครงการห้างสรรพสินค้า หรือ คอมมูนิตี้มอลล์ใหญ่ๆ มาลง มีการยกระดับพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ มีระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึงมากขึ้น ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/76762584_2719500628089293_7441738612275675136_o-450x300.jpg)
เวลาเปลี่ยน คอนโดเก่า แต่อยากขึ้นค่าเช่าต้องทำอย่างไร?
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ปล่อยเช่าต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งค่าบำรุงซ่อมแซมห้องต่างๆ หรือ สำหรับบางคนอาจมีเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้มาเกี่ยวข้อง อันเป็นเหตุให้ต้องขึ้นค่าเช่า แต่ผู้ปล่อยเช่าหลายๆ คนอาจมีปัญหาคาใจว่า ถ้าคอนโดฯ ของเราเก่าแล้ว หรือ ไปลงทุนซื้อคอนโดมือสองมา เราจะขึ้นค่าเช่าได้ไหม ขึ้นแล้วผู้เช่าเก่าจะหนี ผู้เช่าใหม่จะเมินใส่หรือเปล่า วันนี้เรามี Tips มาแนะนำกันค่ะ ว่าถ้าเราอยากขึ้นค่าเช่า จะทำอย่างไรได้บ้าง . :: รีโนเวทห้องใหม่ :: การปรับปรุงห้องใหม่ทั้งหมด ถือว่าเป็นวิธียอดนิยมสำหรับผู้ปล่อยเช่า ที่ต้องการขึ้นค่าเช่า เพราะนอกจากการรีโนเวทจะทำให้สภาพกลับมาดูเหมือนใหม่ ดึงดูดผู้เช่าได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับห้องอีกด้วย โดยการรีโนเวทที่ว่านี้สามารถทำได้ตั้งแต่สเกลใหญ่อย่างการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเสียใหม่ กั้นโซนใหม่ เปลี่ยนผนัง เปลี่ยนวอลเปเปอร์ เปลี่ยนพื้น เอาเฟอร์นิเจอร์ Built-in ชิ้นใหม่มาลง ไปจนถึงสเกลที่เล็กลงมาหน่อยอย่างเช่น การตกแต่ง และ จัดวางข้าวของ อย่างไรก็ตาม การรีโนเวทห้องนี้สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือเรื่องงบประมาณและความคุ้มค่า ห้องของเราบางทีอาจไม่จำเป็นต้องรีโนเวทอะไรขนานใหญ่ เพียงแค่ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์บางชิ้น ก็อาจใช้ได้แล้ว แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลารีโนเวทห้องควรจะเลือกใช้แต่ของราคาถูกเสมอไป ถูกได้ คุณภาพดีด้วยยิ่งดี แต่ถ้าถูกมากๆ แล้วใช้งานได้ไม่นาน ต้องมานั่งเปลี่ยนกันใหม่ ก็จะเสียทั้งเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น เวลาจะรีโนเวทก็ควรช่างน้ำหนักระหว่างงบกับความคุ้มค่าให้ดี . :: มีสิทธิพิเศษ หรือ บริการบางอย่างแถมให้ :: สำหรับคอนโดฯ เก่า ถึงแม้ว่าเราจะรีโนเวทห้องของเราบางทีอาจยังไม่พอ เพราะสภาพส่วนกลางหรือภายนอกอาจไม่ได้ดีตามไปด้วย หรือ เราอาจไม่มีงบมากพอที่จะรีโนเวท ดังนั้น วิธีที่จะสามารถทำได้ก็คือมีสิทธิพิเศษ หรือ บริการบางอย่างแถมให้กับผู้เช่าของเรา ตัวอย่างเช่น บริการทำความสะอาด บริการซ่อมแซม หรือมีอุปกรณ์ของใช้บางอย่างเตรียมไว้ให้ อย่างพวกอุปกรณ์เครื่องครัว โทรทัศน์ที่รองรับช่องเคเบิล เป็นต้น . :: ปล่อยเช่าให้ชาวต่างชาติ :: ชาวต่างชาติ เป็นคนอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความต้องการ “เช่า” มากกว่าต้องการจะซื้อ เพราะส่วนใหญ่ชาวต่างชาติมักจะเข้ามาพำนักอาศัยหรือทำงานในไทยไม่นานนัก อีกทั้ง ชาวต่างชาติยังมีกำลังจ่ายมากกว่า จึงสามารถปรับค่าเช่าให้สูงขึ้นได้ ทำให้ผู้ปล่อยเช่าจำนวนไม่น้อย หันมาให้ความสนใจกับตลาดชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ ชาวญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะได้ค่าเช่าที่ดี ตามต้องการแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังมีระเบียบดูแลเอาใจใส่รักษาห้องเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าได้ค่าเช่าแล้ว ยังได้ความสบายใจด้วย ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/74311525_2706827816023241_6664170556117483520_o-1024x683-1-360x189.png)
จริงหรือไม่!? ซื้อคอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้า หากไม่ระวัง อาจไม่คุ้มค่าการลงทุน?
แน่นอนว่าคอนโดฯ แต่ละแห่งในปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะมีจุดขายคล้ายๆ กันคือ “ติดรถไฟฟ้า” แต่รู้หรือไม่คะ ไม่ใช่คอนโดฯ ทุกแห่งที่ติดรถไฟฟ้านั้นจะน่าลงทุนไปเสียทั้งหมด เพราะบางแห่งก็อาจไม่ได้ติดรถไฟฟ้าถึงขนาดเดินทางได้สะดวก หรือ อยู่ในพื้นที่ที่ห่างจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ซึ่งถ้าหากเราไม่ระวัง ก็อาจปล่อยเช่ายาก หรือ ได้ราคาไม่ดี ดังนั้น วันนี้เราจะพามาดูว่า คอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าแบบไหนถึงจะคุ้มค่าการลงทุน . :: ติดรถไฟฟ้า แต่ระยะไม่ควรไกลเกิน 500 ม. :: สำหรับ คอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้าที่น่าลงทุนนั้น ควรจะเป็น คอนโดฯ ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าเกิน 500 เมตร หรือถ้าจะให้ดีควรอยู่ไม่ไกลเกิน 200 เมตร เพราะสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า ลองนึกภาพว่าคุณเป็นผู้อยู่อาศัยตรงนั้น หากคอนโดฯ ไกลจากสถานีมาก ๆ เกินกว่า 500 เมตร คุณอาจไม่อยากเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว ต้องอาศัยรถหรือเรียกมอเตอร์ไซค์เพื่อต่อไปยังสถานีอีกที ทำให้จุดขายอย่าง “ติดรถไฟฟ้า” ไม่ใช่จุดขายสำคัญอีกต่อไป . :: เดินง่าย ทางสะดวก และไม่เปลี่ยว :: ก่อนที่จะลงทุนซื้อคอนโดฯ ติดแนวรถไฟฟ้าเพื่อปล่อยเช่า ควรเดินสำรวจเส้นทางจากสถานีมายังคอนโดฯ ด้วยว่า ทางเดินนั้นเดินได้สะดวกไหม เปลี่ยวหรือเปล่า มีสิ่งขีดขวางอะไรหรือเปล่า เช่น มีไซต์ก่อสร้าง ทำถนน ฯลฯ และระหว่างทางเดินมีร่มเงาจากต้นไม้บ้างหรือไม่ เนื่องจากประเทศเราเป็นประเทศร้อน ดังนั้น การที่มีต้นไม้คอยช่วยให้ร่มเงา ก็จะช่วยให้อำนวยความสะดวกในการเดินทางได้ และผู้เช่าส่วนใหญ่ย่อมต้องการความสะดวกสบายในส่วนนี้ . :: รอบสถานีต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก :: ไม่ใช่ว่าแค่มีรถไฟฟ้าไปถึงแล้ว พื้นที่ตรงนั้นจะเจริญขึ้นมาทันตา และ เป็นทำเลทองที่สามารถทำกำไรให้กับเราได้เลยทันที มนุษย์เราต้องการความสะดวกสบาย และความสะดวกสบายนั้นต้องตอบโจทย์ความต้องการอย่างรอบด้านด้วย ดังนั้น ก่อนลงทุนควรมองหาคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า ที่อยู่ในพื้นที่ที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ . :: ปลอดภัยพิบัติ :: หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ประสบน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ ดังนั้นก่อนลงทุนควรคำนึงถึงความเสี่ยงในข้อนี้ด้วย เพราะหากคุณลงทุนกับคอนโดฯ ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/71287355_2635377336501623_5289240568482758656_o-450x300.png)
อยากรู้ต้องมาฟัง! รวมทุกเรื่องที่คุณควรรู้ เกี่ยวกับการปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่น
อยากลงทุนปล่อยเช่าให้คนญี่ปุ่นต้องอ่าน! วันนี้เราจะมาเผยทริคดีๆ ที่จะช่วยมัดใจผู้เช่าชาวญี่ปุ่นกันแบบเจาะลึก ทั้งในเรื่องของ ทำเล ลักษณะห้องพัก ตลอดจนเทคนิคพิชิตใจในการปิดการขาย! อย่ารอช้า ตามเรามาดูกันเลย 👇 . พร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัย ย่านยอดฮิต ที่อาจไม่ฮิตอีกแล้ว!? หลายคนคงทราบกันดีว่า หากสนใจปล่อยเช่าให้คนญี่ปุ่น ทำเลของอสังหาฯ ที่ควรลงทุนก็คงจะหนีไม่พ้นแถว พร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัย ที่ได้ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘Japanese Town’ หรือย่านอยู่อาศัยของคนญี่ปุ่น ซึ่งสาเหตุที่คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเลือกที่จะอาศัยอยู่ในย่านนี้ก็เป็นเพราะอยู่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์คนญี่ปุ่นมากกว่า อย่างเช่น มี ‘Fuji Supermarket’ ที่มีการนำของกิน ของใช้ ต่าง ๆ นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง นอกจากนี้ ยังมี ‘ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีคนญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ’ แวดล้อมอยู่โดยรอบ ทำให้คนญี่ปุ่นเองรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมตนเองเคยคุ้นชิน ไม่เพียงเท่านั้นบริเวณนี้ยังใกล้กับ ‘โรงเรียนญี่ปุ่นและโรงเรียนอินเตอร์’ หลายแห่ง สะดวกต่อสำหรับชาวญี่ปุ่นที่พาครอบครัวและลูกมาด้วย แต่ถึงแม้ พร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัย จะเป็นย่านยอดฮิตของชาวญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันก็มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยเลยที่เริ่มขยับขยายออกมาอยู่ในย่านอื่น ๆ อย่าง อ่อนนุช และ ปุณณวิถี ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยเรื่องงบประมาณ เพราะหากพูดกันตามจริงแล้วย่านในเมืองในแพง ค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงเกิน 1000 บาท ในขณะที่หากเขยิบออกมาหน่อยก็อาจได้ห้องในราคาเช่าที่ถูกกว่า ตกตารางเมตรละ 600-700 บาท แถมความสะดวกสบายในเรื่องของการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อย่างห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าในเมืองเลย แต่อย่างไรหากเลือกได้ และงบฯ ถึงคนญี่ปุ่นก็มักจะเลือกย่านพร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัย เป็นคำตอบสุดท้ายอยู่ดีค่ะ . ปล่อยเช่าง่าย ขอแค่มี สิ่งอำนวยความสะดวกที่ตรงใจ จากประสบการณ์ 5 ปีที่ทาง Shinyu ได้ดูแลลูกค้ามา คอนโดที่ง่ายต่อการปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่นก็คือคอนโดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกดังนี้ต่อไปนี้ – ‘อ่างอาบน้ำ’ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น เพราะคนญี่ปุ่นชื่นชอบการแช่น้ำร้อนเป็นอย่างมาก – ‘Golf Simulator’ หรือ สนามกอล์ฟจำลอง เนื่องจากคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานส่วนใหญ่มักจะต้องเข้าสังคมด้วยการ ‘ตีกอล์ฟ’ ซึ่งเข้าจะมีวัฒนธรรมว่าวันอาทิตย์จะต้องออกไปตีกอล์ฟกับเจ้านายหรือลูกค้าเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ดังนั้นหากโครงการไหนมีสนามกอล์ฟจำลองให้เหล่ามนุษย์นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นไว้ซ้อมมือ ก็จะยิ่งโดนใจเป็นพิเศษ – ใกล้กับรถไฟฟ้า ในระยะเดิน 5 นาที หรือไม่เกิน 500 เมตร – รายล้อมด้วยร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้า ทั้งนี้ ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/70924279_2624595294246494_2562781082575437824_o-450x300.jpg)
ปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่นดีอย่างไร ทำไมใคร ๆ ก็อยากปล่อยเช่า!?
ในปัจจุบัน มีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อย ย้ายเข้ามาอาศัยและทำงานในประเทศไทย และ ‘ชาวญี่ปุ่น’ เอง ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งชาติที่เข้ามาทำงานในไทยสูงติดอันดับต้นๆ ของทุกปี จึงทำให้กลุ่มชาวญี่ปุ่นกลายเป็นตลาดใหญ่ของแวดวงธุรกิจการปล่อยเช่า แต่นอกเหนือจากเหตุผลข้อนี้ ยังมีเหตุผลดีๆ อีกหลายข้อที่ทำให้ผู้ปล่อยเช่าหลายต่อหลายคน #เป็นปลื้ม กับผู้เช่าชาวญี่ปุ่น . ตรงต่อเวลา ถ้าถามว่านิสัยของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไร เชื่อว่าคนที่เคยคลุกคลีกับชาวญี่ปุ่นมาบ้าง คงต้องตอบว่า คนญี่ปุ่นเป็นคน “ตรงต่อเวลา” อย่างแน่นอน ซึ่งการที่คนญี่ปุ่นมีนิสัยนี้ติดตัวมา ก็เพราะเขาถูกปลูกฝังมาว่าการตรงต่อเวลานั้น แสดงถึงความรับผิดชอบ การให้เกียรติและเคารพผู้อื่น ดังนั้น ผู้ปล่อยเช่าจึงไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าจะเกิดปัญหาเรื่องไม่จ่ายค่าเช่า หรือ จ่ายค่าเช่าไม่ตรงเวลาขึ้น กับการปล่อยเช่าให้ญี่ปุ่น . มั่นคง รายได้สูง คนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในไทยส่วนใหญ่มักจะถูกส่งมาจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น มีตำแหน่ง อาชีพ การงานที่มั่นคง ซึ่งโดยปกติแล้วมักมีรายได้มากกว่า 50,000 ต่อเดือน อีกทั้งยังมีบางส่วนที่ได้งบฯ ในการเช่าที่พักจากบริษัท ทำให้มีกำลังในการเช่าห้องที่ราคาและคุณภาพสูงขึ้นมา อีกทั้งยังพร้อมทำสัญญาเช่าเป็นรายปี . รักสะอาด คนญี่ปุ่นเป็นคนที่รักสะอาดมาก เจ้าของห้องสามารถมั่นใจได้เลยว่าสภาพห้องก่อนเข้าพักเป็นแบบไหน ตอนคืนห้อง ก็จะอยู่ในสภาพเดิม โดยเฉพาะถ้าผู้เช่าเป็นคนญี่ปุ่นที่มากันทั้งครอบครัวด้วยแล้ว ผู้ที่เป็นภรรยา ที่มักจะอยู่บ้านดูแลลูก ก็จะเป็นผู้รับผิดชอบคอยดูแลห้อง ทำความสะอาดห้องเป็นอย่างดี . มีความรับผิดชอบสูง รักษากฎ เคารพสิทธิ การอยู่คอนโด คือการที่เราต้องอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่น ดังนั้น หากอยากจะอยู่กับคนอื่นให้ได้อย่างสงบสุข สิ่งที่ต้องทำก็คือ “การรักษากฎ” ซึ่งคนญี่ปุ่นเองเป็นคนที่เคร่งครัดกับการรักษากฎ และเคารพสิทธิของผู้อื่นอย่างมาก ตลอดจน มีความรับผิดชอบสูง อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นมิตร ด้วยลักษณะนิสัยตรงนี้ทำให้เราวางใจได้ว่า ผู้เช่าของเราจะเข้ากับลูกบ้านคนอื่นได้ดี รักษาพื้นที่ส่วนกลาง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้านหรือเจ้าของห้องอย่างเราให้ต้องมานั่งปวดหัว . สามารถปล่อยเช่าระยะยาวได้ ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในไทยมักมีสัญญางานโดยเฉลี่ย 3-5 ปี ก่อนจะโยกย้ายไปทำงานที่อื่นตามคำสั่งของบริษัทแม่ หรือไม่ก็เป็นคนที่เข้ามาทำธุรกิจระยะยาว หรือใช้ชีวิตหลังเกษียณที่ประเทศไทย จึงทำให้เราสามารถทำสัญญาเช่าระยะยาวกับพวกเขาได้ โดยที่ ไม่ต้องมานั่งหาผู้เช่าใหม่ให้วุ่นวายใจอยู่บ่อย ๆ ทั้งนี้ หากจะปล่อยเช่าให้คนญี่ปุ่น ควรเลือกปล่อยเช่าผ่านเอเจนซี ที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะช่วยให้ปล่อยเช่าคอนโดง่าย สะดวก และรวดเร็วแล้ว ยังสามารถติดต่อประสานและให้คำแนะนำกับผู้เช่าและผู้ปล่อยเช่าได้อย่างเป็นมืออาชีพอีกด้วย
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/70536256_2617864321586258_1880177944492507136_o-450x300.jpg)
ปล่อยเช่าห้องพักแบบไหน มัดใจชาวญี่ปุ่น
ลองคิดดูว่าหากเราต้องไปพักอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ ที่มีทั้งความต่างเรื่องภาษา วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ เป็นระยะเวลานาน สิ่งใดที่เราต้องการและคิดถึงมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น “สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่พักอาศัย หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ สบายใจและรู้สึกปลอดภัยนั่นเอง เช่นเดียวกัน เมื่อคนญี่ปุ่นย้ายเข้ามาทำงานในประเทศไทย เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมองหาห้องพักที่ตอบโจทย์กับวิถีชีวิตมากที่สุด ที่ที่จะทำให้เขารู้สึกสะดวกกายสบายใจ ที่ที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ต่างอะไรจากบ้านของตัวเอง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ ’ห้องพัก’ นั้น ‘มัดใจ’ ชาวญี่ปุ่นได้นั้น จะมีอะไรบ้าง ตามเรามาดูกันเลยค่ะ . น้อยแต่มาก มัดใจด้วยห้องแบบ “มินิมอลสไตล์” คนญี่ปุ่นนั้นให้สำคัญกับการอยู่ร่วมอาศัยอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ จึงมีพื้นฐานการออกแบบบ้านมาจากความเชื่อแบบ ‘Zen’ คือออกแบบให้เรียบง่าย ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นมิตรกับธรรมชาติ ดังนั้น หากจะตกแต่งห้องพักสำหรับปล่อยเช่าคนญี่ปุ่น คุณอาจลองมองหาเฟอร์นิเจอร์อย่างพวก ชั้นวางของ ฉากกั้น โต๊ะ เก้าอี้ ของตกแต่ง ที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ อย่างเช่นไม้ ไม้ไผ่ หรือผ้าฝ้าย อย่างไรก็ตามไม่ควรจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์มากชิ้นเกินไปจนทำให้ห้องอึดอัด ทั้งนี้ เฟอร์นิเจอร์ วอลเปเปอร์ หรือ พื้น ควรเป็นสีอ่อน หรือ สีกลางๆ ไม่ฉูดฉาด อย่างเช่น สีขาว สีครีม หรือ สีน้ำตาล เพราะจะช่วยให้ความรู้สึกเรียบง่ายและสงบ . “ห้องน้ำ” สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ‘การอาบน้ำ’ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยคนญี่ปุ่นมักจะคุ้นชินกับการอาบน้ำแบบญี่ปุ่น หรือ ‘Ofuro’ ซึ่งเป็นการแช่น้ำร้อนในอ่างอาบน้ำ ไม่ว่าบ้านจะเล็กหรือใหญ่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพราะสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้วการอาบน้ำไม่ใช่เพียงแค่การชำระร่างกายให้สะอาดเท่านั้น แต่ยังเป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ผ่อนปรนความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้เวลาร่วมกันกับคนในครอบครัวอีกด้วย สำหรับใครที่อยากปล่อยเช่าคนญี่ปุ่นก็ควรให้ความสำคัญกับ ‘ห้องน้ำ’ ถ้าจะให้ดีควรมีอ่างอาบน้ำ แต่หากไม่มีอย่างน้อยที่สุดก็ควรจะมี ‘เครื่องทำน้ำร้อน’ และ ‘เครื่องกรองน้ำสำหรับอาบน้ำ ไว้อำนวยความสะดวก . เครื่องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้า #ของมันต้องมี โดยปกติแล้วชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในไทยมักจะมากันทั้งครอบครัวพ่อ แม่ ลูก ซึ่งครอบครัวชาวญี่ปุ่นแบบนี้มักนิยมทำอาหารรับประทานกันเอง ดังนั้น เราซึ่งจะเป็นผู้ปล่อยเช่า ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะมีเครื่องครัวพื้นฐานอำนวยความสะดวกให้อย่างเช่น เตาไฟฟ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องต้มน้ำร้อน ชุดหม้อ-กระทะ ตลอดจนชุดจานชาม ตะเกียบ ช้อนส้อม ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/71029534_2613338292038861_532099817514467328_o-450x300.png)
5 สิ่งพึงระวัง หากอยากปล่อยเช่าให้ราบรื่น!
ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจปล่อยเช่าคอนโดเป็นธุรกิจที่ใครหลายคนให้ความสนใจ เพราะถือได้ว่า เป็นธุรกิจ “เสือนอนกิน” เพียงแค่ลงทุนหนึ่งครั้งก็สามารถมี ‘Passive Income’ ไปได้ตลอด อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกการลงทุนนั้นจะประสบความสำเร็จ ถ้า “เสือ” ไม่ระวัง ก็อาจโดนธุรกิจนี้ “กิน” เสียเอง ดังนั้น วันนี้เรามี 5 สิ่งที่ผู้ปล่อยเช่ามือใหม่ควรพึงระวังไว้ หากอยากปล่อยเช่าให้ราบรื่นมาฝากกันค่ะ . ศึกษาโครงการให้ดีก่อนลงทุน ทำเล รูปแบบห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นสิ่งสำคัญที่ควรศึกษาเกี่ยวกับโครงการนั้น ๆ ก่อนที่คิดจะลงทุน ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ควรจะศึกษา ก็คือควรดูว่าห้องนั้นอยู่ในทำเลที่ดีหรือไม่ สะดวกต่อการเดินทางไหม มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ครบหรือเปล่า เช่นใกล้ห้าง ใกล้รถไฟฟ้า ตลอดจน ทิศของห้องหันไปทางที่มีแสงหรือเปล่า โดนตึกอื่นบล็อกไหม เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะทำให้ปล่อยเช่าง่ายหรือยากด้วย . ระวังค่าเช่าไม่สอดคล้องกับตลาด อย่าเพิ่งหลงเชื่อเวลาที่มีคนบอกว่าคอนโดนี้การันตีค่าเช่าที่สูง เพราะคุณอาจไม่ใช่คนเดียวที่เขาบอกแบบนั้น ลองนึกภาพว่าถ้านักลงทุนจากทุกที่มารุมซื้อคอนโดแห่งเดียวกันและปล่อยเช่าในราคาสูง สวนทางกับตลาด สุดท้ายแล้ว คุณก็จะปล่อยเช่าไม่ได้ ไหนจะต้องเจอคู่แข่งอีกมหาศาล เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลดราคาค่าเช่า และขาดทุนในท้ายที่สุด . ค่าเช่าดี ราคาขายต้องได้ อีกหนึ่งข้อควรระวังสำหรับผู้ที่กู้เงินมาลงทุนปล่อยเช่าก็คือ ควรศึกษาแนวโน้มของโครงการนั้นให้ดีว่า นอกจากจะได้ค่าเช่าที่ดีแล้ว ราคาขายก็ควรจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นด้วย เพราะถ้าเรากู้เงินจากธนาคารมาลงทุน ก็เท่ากับว่าเงินค่าเช่าที่เราได้ก็จะต้องนำไปจ่ายคืนให้ธนาคารหมด ใช้เวลานานกว่าจะได้กำไรคืน ดังนั้น ในกรณีควรดูด้วยว่าการลงทุนกับสินทรัพย์นี้จะได้ราคาขายที่ดีต่อไปในอนาคต . รู้เขา รู้เรา ตรวจสอบผู้เช่าก่อนปล่อยเช่า เมื่อมีผู้เช่าติดต่อมาขอเช่า อย่าพึ่งหลงดีใจตกปากรับคำ โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลของผู้เช่าให้ดีเสียก่อน เพราะบางทีอาจเกิดปัญหาตามมาได้เช่น ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าไม่ตรงเวลา ทำกิจกรรมที่เป็นข้อห้ามของคอนโด ฯลฯ ดังนั้น ก่อนที่จะทำข้อตกลง ควรสอบถามประวัติผู้เช่า เพื่อที่จะได้ทราบว่าเขาเป็นใคร มีสถานะการงานและการเงินเป็นอย่างไร มีกิจกรรมพิเศษอะไรที่ทำในห้องบ้างหรือเปล่า เช่น การสูบบุหรี่ หรือ เลี้ยงสัตว์ เพราะกิจกรรมเหล่านี้อาจอยู่ในข้อห้ามของคอนโด หรือ ทำให้เพื่อนบ้านเดือดร้อน จนอาจเลยเถิดไปถึงขั้นที่ต้องเสียค่าปรับ . ระวังเรื่องกฎหมายและการทำสัญญา สัญญาที่ทำกับผู้เช่าควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร ครอบคลุม ชัดเจน รัดกุม ตกลงกันให้เรียบร้อยว่าถ้าเกิดความเสียหายในส่วนไหน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เราเสียเปรียบและป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต ทั้งนี้เรื่องกฎหมายก็ต้องศึกษาให้ดี เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายทั้งเรื่องการเสียภาษี ค่าธรรมเนียม ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/70724097_2609909212381769_1420778222353645568_n-450x300.png)
รู้ผลตอบแทนการเช่าง่ายๆ ผ่าน 3 วิธีคำนวณ Rental Yield
หากใครมีความคิดที่จะลงทุนปล่อยเช่าคอนโด หนึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนเลยนั่นก็คือผลตอบแทนที่จะได้รับ เพราะถ้าไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายตรงนี้ให้ถี่ถ้วนการลงทุนเพื่อ ‘ผลกำไร’ อาจกลายเป็น ‘ขาดทุน’ ไปได้ไม่ยาก โดยวันนี้เราจะมาสอนวิธีคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า หรือ ‘Rental Yield’ กัน ก่อนจะเริ่มไปคำนวณ เรามารู้เกณฑ์กันก่อนว่าเราต้องได้ผลเฉลี่ยออกมาเท่าไหร่ถึงจะถือว่าการลงทุนนี้ได้รับผลตอบแทน ‘ดี’ โดยเกณฑ์ที่นิยมใช้กันคือการนำไปเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนคอนโดฯ ในย่านใจกลางกรุง ที่อยู่ในระดับ 5-7% ดังนั้นถ้าคำนวณออกมาแล้วผลของเราออกมาในระดับนี้หรือสูง ก็เท่ากับว่าคอนโดนี้น่าลงทุน ทั้งนี้ ในส่วนของการซื้อด้วยเงินกู้ อัตราผลตอบแทนที่ได้ในส่วนนี้ควรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อย่างน้อย 2% ถึงจะถือว่าอยู่ในระดับที่น่าลงทุน เนื่องจากระดับ 2% จะสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เราลงทุนไปกับคอนโด เช่น ค่าส่วนกลางต่างๆ ทั้งหมดได้ . เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้วเรามาเริ่มคำนวณกันเลยค่ะ ‘Rental Yield’ หรือ การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการเช่าที่ว่านี้สามารถแบ่งเป็นออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ 1. Gross Rental Yield หรือ คำนวณอัตราผลตอบแทนจากการเช่าเบื้องต้น ใช้ประเมินเวลาสำรวจคอนโดหรือบ้าน โดยสูตรคือ ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี / ราคาอสังหาฯ ที่ซื้อ x 100 ตัวอย่างเช่น คอนโดราคา 1,700,000 บาท คิดค่าเช่าเดือนละ 9,000 บาท ค่าเช่าทั้งปีจะอยู่ที่ 9,000 x 12 = 108,000 บาท เอามาคำนวณตามสูตรจะได้ (108,000 / 1,700,000) x 100 = 6.6% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดี เพราะอยู่ที่อัตราเฉลี่ย 5-7% 2. Net Rental Yield เป็น การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ โดยมีการนำค่าส่วนกลางมาคำนวนด้วย โดยสูตรคำนวณให้เอา ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี-ค่าส่วนกลาง / ราคาอสังหาฯ ที่ซื้อ x 100 ตัวอย่างเช่น ค่าเช่าทั้งปี 108,000 บาท ค่าส่วนกลาง 14,040 ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2020/03/69948294_2590704840968873_3609247983050162176_o-450x300.jpg)
เลือกตัวแทนอสังหาฯ ให้ถูกใจ เลือกอย่างไร ให้ไม่พลาด
“ความน่าเชื่อถือ” มักเป็นสิ่งแรกที่เรามองหาเมื่อต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการซื้ออาหาร ไปจนถึงการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น เพราะมันเป็นเครื่องการันตีว่าการตัดสินใจของเรานั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ากับราคาเสียไป สำหรับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก บางครั้งอาศัยความรู้อย่างเดียวอาจไม่พอ ยังต้องอาศัย “ประสบการณ์” และ “ความเชี่ยวชาญ” อีกด้วย และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายต่อหลายคน มองหาบริการจากตัวแทน ก่อนตัดสินใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มากกว่า ซึ่งตัวแทนอสังหาฯ ที่ “น่าเชื่อถือ” นั้นควรจะมีจะมีลักษณะอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ . การตรงต่อเวลาถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เราคงจะประทับใจกับตัวแทนที่มาตรงเวลานัดหมาย หรือ มาก่อนเวลามากกว่า เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาให้ความสำคัญกับเรา เราคงจะรู้สึกไม่ดีใช่ไหมล่ะคะ ถ้าสมมติว่าเราฝากเช่าห้องกับเอเจนซีหนึ่ง แต่ตัวแทนกลับมาช้า หากเหตุการณ์นี้เกิดกับผู้ที่สนใจเช่าห้องของเราคงไม่ดีแน่ นอกจากนี้ การแต่งกายที่สุภาพและการเตรียมพร้อมด้านเอกสารก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ รวมทั้ง การสร้างความเป็นมิตร ผ่านรอยยิ้ม ผ่านการพูดจาที่นุ่มนวลไพเราะ ก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ควรมองหาจากตัวแทน เพราะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน . ตัวแทนอสังหาฯ ที่ดีต้องสามารถให้คำปรึกษากับเราได้รอบด้าน รู้ลึก รู้จริง และมีข้อมูลที่ทันสมัย เพราะการลงทุนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากขาดข้อมูลที่สำคัญเรื่องอะไรไป อาจทำให้การดำเนินการทั้งหมดของเราสะดุดลง ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากจะปล่อยเช่าให้ชาวญี่ปุ่น ตัวแทนก็ควรจะแนะนำได้ว่า ชาวญี่ปุ่นนั้นชอบห้องสไตล์ไหน ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ . ตัวแทนที่มีเครือข่ายกับพาร์ทเนอร์ และฐานลูกค้าในมือพร้อมทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยจับคู่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ได้รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังได้ราคาดีกว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้เรามั่นใจได้อีกด้วยว่าตัวแทนนี้ มีประสบการณ์และมีมาตรฐานการทำงานที่ดี เป็นที่ยอมรับจากคนในวงกว้าง . ความเป็นมืออาชีพ คือผลรวมของ การตรงต่อเวลา ประสบการณ์ และ ความเชี่ยวชาญ ทุกสิ่งเหล่านี้ จะทำให้บริษัทหนึ่งมีความน่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ไว้วางใจต่อทั้งลูกค้าและพาร์ทเนอร์ ในขณะเดียวกัน ลูกค้าที่กำลังมองหาความน่าเชื่อถือจากตัวแทน ก็ควรที่จะใช้คุณสมบัติเหล่านี้ เป็นตัวพิจารณา เพื่อให้ตัดสินใจได้ดีกว่า อย่างมั่นใจ หากลูกค้าท่านไหนกำลังมองหาตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือในการขาย-เช่า-คอนโดมิเนียม ที่ Shinyu Real Estate เรายินดีที่จะให้คำปรึกษาในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์การทำงานกว่า 5 ปี ผ่านการขายและปล่อยเช่ามาแล้วกว่า 20,000 ยูนิต กับเครือข่ายและความร่วมมือจากผู้พัฒนาอสังริมทรัพย์ชั้นนำอย่าง AP (Thailand), Singha Estate, SANSIRI, Origin, ...
อ่านต่อ ![](https://shinyu-residence.com/wp-content/uploads/2019/09/1-358x358.jpg)
อย่าลืมแจ้งตม. 30 เมื่อคุณคิดปล่อยเช่าอสังหาฯ ให้ชาวต่างชาติ
ทันทีที่ผู้เช่าชาวต่างชาติเข้าห้องพักที่คุณปล่อยเช่า คุณอาจคิดว่าหน้าที่ในฐานะของเจ้าบ้านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ไม่ใช่เช่นนั้นค่ะ เพราะสิ่งที่ต้องทำในขั้นตอนต่อไปก็คือการแจ้ง ‘ตม. 30’ หรือ การแจ้งข้อมูลของลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาพักในห้องของเรา ให้กับที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง หรือสถานีตำรวจในท้องที่ ได้รับทราบ ตามพระราชบัญญัติ คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 การแจ้งตม. 30 นี้ ไม่ว่าใครที่ประกอบกิจการโรงแรม เกสเฮ้าส์ แมนชั่น อพาร์ตเม้นท์ สถานประกอบการ หรือบ้านเช่า ก็ต้องทำการแจ้งว่ามีชาวต่างชาติเข้าพักอาศัย ‘ภายใน 24 ชั่วโมง’ นับจากเวลาเข้าพัก และที่สำคัญก็คือ ชาวต่างชาติผู้นั้นต้องได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ต้องผ่านการตรวจเข้าเมืองตามกฎหมาย ต้องเข้ามาประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ซึ่งหากเจ้าของห้องท่านใดไม่ปฎิบัติตาม จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท นั่นเองค่ะ สำหรับในส่วนของวิธีการแจ้งตม. 30 นั้น สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน ดังนี้ 1. แจ้งด้วยตนเอง หรือ มอบหมายให้คนอื่นนำเอกสารมาแจ้ง – ดาวน์โหลดแบบฟอร์มการแจ้งรับคนต่างชาติเข้าพักอาศัย http://bangkok.immigration.go.th/download/tm30.doc – ภายในแบบฟอร์มจะประกอบด้วยเอกสาร 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ให้กรอกข้อมูลของเจ้าบ้าน เจ้าของ หรือผู้ครอบครองเคหะสถาน รวมถึงที่ตั้งของสถานที่ที่มีคนต่างชาติเข้าพัก แล้วลงชื่อผู้แจ้งให้เรียบร้อย ส่วนที่ 2 จะเป็นบัญชีรายชื่อคนต่างด้าวที่เข้าพักอาศัย ให้เจ้าบ้านกรอก ชื่อคนต่างด้าว สัญชาติ เลขหนังสือเดินทาง วันเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ประเภทวีซ่า วันครบกำหนดอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย ช่องทางเข้า เลขที่บัตรขาเข้า (บัตรตม.6 ที่แนบมากับหนังสือเดินทาง) และ ความเกี่ยวพัน โดยในส่วนนี้ให้อิงข้อมูลจากหนังสือเดินทางของชาวต่างชาติเป็นหลัก และใช้วิธีพิมพ์หรือเขียนในการกรอกข้อมูลเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นการเขียนให้เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด และควรเว้นช่องว่างระหว่าง ชื่อ ชื่อกลาง และนามสกุลให้ชัดเจน – นำแบบฟอร์มที่กรอกเสร็จเรียบร้อยไปยื่น โดยถ้าเคหสถานนั้นที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ให้แจ้งที่ แจ้งที่ช่องบริการ ‘แจ้งที่พักอาศัย’ ที่ศูนย์ราชการ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ ตามวันและเวลาราชการ แต่กรณีที่เคหสถานนั้นตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด ...
อ่านต่อ